เผลอแป๊บเดียวเด็ก ๆ ก็จะไปโรงเรียนกันแล้ว สำหรับเด็กที่เข้าเรียนอยู่แล้ว ความกังวลใจของผู้ปกครองก็ไม่น่าจะมีอะไรมาก เด็กอาจจะมีงอแงบ้างเล็กน้อย แต่สำหรับเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนเป็นครั้งแรก ผู้ปกครองอาจจะมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ ครูแหม่มจึงอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ และแนะนำวิธีที่ครูแหม่มใช้ใน การเตรียมตัวก่อนเปิดเทอม ให้ลูกพร้อมไปโรงเรียน ในฐานะผู้ปกครองกันค่ะ ว่าเราจะต้องเตรียมตัวและรับมือกับลูกอย่างไรบ้าง

การเตรียมตัวก่อนเปิดเทอม ให้เด็ก ๆ พร้อมไปโรงเรียน
การเตรียมตัวก่อนเปิดเทอม ให้เด็ก ๆ พร้อมไปโรงเรียน

สร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการไปโรงเรียน

หัวใจสำคัญในการสร้างทัศนคติที่ดีของการไปโรงเรียน คือให้ลูกเราจินตนาการไปพร้อม ๆ กับพาชมสถานที่ในโรงเรียน เมื่อพ่อแม่หาโรงเรียนที่สนใจได้แล้ว เราก็จะเข้าไปเยี่ยมชมโรงเรียนนั้น ๆ โดยพาน้องไปด้วยทุกโรงเรียน เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับเด็กว่าสถานที่นี้เรียกว่าโรงเรียน มีสนาม มีเครื่องเล่นให้เล่น และจะมีเพื่อน ๆ อีกมากมาย รวมถึงมีคุณครูที่คอยดูแล ให้ความช่วยเหลือหนูนะคะ ในการเยี่ยมชมโรงเรียนจะมีคุณครูพาชมห้องและสถานที่ จากนั้นเมื่อชมสถานที่ต่าง ๆ แล้วควรให้เวลาเด็กได้เล่นอยู่ในโรงเรียนจนกว่าเด็กจะพอใจนะคะ

ส่วนในกรณีที่เด็กจะย้ายโรงเรียน เราก็ควรอธิบายให้เค้าเข้าใจถึงเหตุผลที่ต้องย้ายโรงเรียน ยกตัวอย่าง กรณีของครูแหม่ม ตอนอนุบาล 1-2 น้องเรียนอยู่อีกโรงเรียน แล้วต้องย้ายมาอีกที่ตอนอยู่อนุบาล 3 ช่วงปิดเทอมครูแหม่มจะค่อย ๆ เกริ่นบอกน้องก่อนว่าจะพาไปดูโรงเรียนใหม่ ทีแรกน้องก็บอกไม่ไปอย่างเดียว แล้วบอกว่าเค้ามีเพื่อนที่สนิท กับคุณครูที่เค้าไว้วางใจแล้ว ครูแหม่มก็อธิบายว่าที่แม่ให้ย้ายโรงเรียน เพราะโรงเรียนเก่าหนูมันไกลจากบ้านเรา แล้วตอนไปโรงเรียนหนูต้องตื่นเช้ามาก ๆ ใช่ไหมคะ แต่ถ้าเราย้ายไปโรงเรียนที่ใกล้บ้านเราหนูก็ไม่ต้องตื่นเช้า แล้วที่โรงเรียนใหม่ก็จะได้เจอกับเพื่อน และคุณครูใหม่ หนูจะได้มีเพื่อนเยอะ ๆ

จากนั้นครูแหม่มก็พาน้องไปชมโรงเรียนใหม่ พอเราอธิบายว่าที่ใหม่มีอะไรบ้าง จากนั้นปล่อยให้เค้าเล่นเครื่องเล่นจนพอใจแล้วจึงกลับบ้าน การงอแงกับโรงเรียนใหม่ก็หมดไป เพราะเขาได้ไปเห็นสถานที่จริง และเรียนรู้ว่าโรงเรียนใหม่ กับโรงเรียนเก่าแตกต่างกันเพียงแค่ ได้เพื่อนใหม่และครูใหม่เท่านั้นเองค่ะ

พาเด็ก ๆ ไปดูสภาพแวดล้อม และทำความคุ้นชินกับโรงเรียนที่จะเข้าเรียน
พาเด็ก ๆ ไปดูสภาพแวดล้อม และทำความคุ้นชินกับโรงเรียนที่จะเข้าเรียน

ปรับอารมณ์ของเด็กให้ผ่อนคลาย

ในการเตรียมตัวก่อนเปิดเทอม สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ผู้ปกครองสามารถทำได้ เพื่อให้ลูกพร้อมสำหรับการไปโรงเรียน คือปรับอารมณ์ของเด็ก ๆ ให้คล้อยตาม ยกตัวอย่างที่ครูแหม่มมักจะทำบ่อย ๆ คือ ชวนเค้าพูดคุยเกี่ยวกับโรงเรียน เช่น ชวนจัดกระเป๋า ให้เค้าเลือกว่าอยากเอาขนมอะไรไปแบ่งเพื่อน ๆ และคุณครูทานบ้าง ให้เค้าเตรียมใส่กระเป๋าเองเลยนะคะ แล้วเราค่อยมาตรวจเช็คอีกทีว่าเขานำอะไรใส่บ้าง

สำหรับเด็กอนุบาลในสัปดาห์แรก ๆ ที่ไปโรงเรียน เด็กบางคนอาจไม่ยอมนอนกลางวัน อันนี้ผู้ปกครองสามารถบอกคุณครูประจำชั้นไว้ล่วงหน้าได้เลยนะคะว่า “ถ้าน้องไม่ยอมนอนกลางวันไม่เป็นไรค่ะ” เพราะเด็กยังไม่คุ้นชินกับสถานที่ ต้องค่อย ๆ ให้น้องปรับตัว และสำรวจสภาพแวดล้อมด้วยตัวเองสักพัก เข้าอาทิตย์ที่ 2 เด็กจะปรับสภาพได้เมื่อเห็นเพื่อน ๆ นอนกันหมด เดี๋ยวเค้าก็จะนอนตามเองค่ะ ดีกว่าบังคับและขู่ให้กลัวต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งจะยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับเค้าในการอยู่โรงเรียน

ในช่วงแรก ๆ พอเค้ากลับมาจากโรงเรียนครูแหม่มก็จะถามว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง เพื่อน ๆ ชื่ออะไรบ้าง เพื่อให้เค้ามีเรื่องราวมาเล่าให้ฟัง แล้วครูแหม่มก็จะพูดกับน้องเสมอว่า พรุ่งนี้ไปโรงเรียนแล้วมาเล่าให้แม่ฟังอีกนะคะ เค้าก็จะรู้สึกสนุกที่มีเรื่องราวมาเล่าให้เราฟัง สำหรับครูแหม่มคิดว่า นี่เป็นอีกวิธีที่สามารถสร้างแรงจูงใจหรือปรับอารมณ์ความกลัวการไปโรงเรียนให้เด็กได้นะคะ

ถามไถ่ให้เด็ก ๆ เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง เพื่อสร้างแรงจูงใจในการไปโรงเรียน
ถามไถ่ให้เด็ก ๆ เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง เพื่อสร้างแรงจูงใจในการไปโรงเรียน

การปรับเปลี่ยนเวลาเข้านอน และตื่นนอน

หลาย ๆ บ้านอาจจะเจอปัญหาที่พอเด็ก ๆ เริ่มโตจะชอบนอนดึกแล้วตื่นสาย หากเป็นช่วงที่ยังไม่เข้าโรงเรียนหรือยังไม่เปิดเรียนก็ไม่ค่อยน่ากังวลใจเท่าไหร่ แต่เมื่อไรที่เด็ก ๆ เตรียมตัวจะไปโรงเรียนแล้ว ผู้ปกครองหลาย ๆ ท่านอาจจะมีวิธีที่ต่างกันไปในการแก้ปัญหานี้ ส่วนวิธีที่ครูแหม่มใช้ คือ ตอนน้องอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง น้องก็ไม่ค่อยจะนอนกลางวัน ครูแหม่มก็จะปล่อยไม่บังคับ เพราะกลางคืนจะทำให้น้องนอนหลับเร็วขึ้นค่ะ

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง บางบ้านน้องไม่นอนกลางวัน แล้วกลางคืนก็ยังนอนดึกอยู่ดี วิธีแก้ของครูแหม่มคือ ก่อนเริ่มเปิดเรียนจะฝึกให้น้องนอนไม่เกิน 2 ทุ่ม โดยช่วงเย็นให้เค้าอาบน้ำ รับประทานอาหารจนอิ่ม เล่นจนพอใจ เมื่อถึงเวลา 6 โมงเย็น พามานั่งเล่นในห้องนอน เด็กจะได้ไม่อิดออดตอนให้เข้านอน พอถึงเวลา ครูแหม่มก็จะบอกน้องให้เตรียมตัวเข้านอน พาเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ปิดไฟ ทำห้องให้เงียบ ซึ่งเด็ก ๆ อาจจะมีงอแงไม่อยากนอนบ้าง แต่ถ้าเค้าเห็นเราเงียบไปเค้าก็จะค่อย ๆ สงบลง แล้วหลับไปเองค่ะ ครูแหม่มจะทำอย่างนี้ทุกครั้งจนน้องเคยชิน ช่วงหลัง ๆ น้องก็จะหลับไปเองไม่งอแงมากมาย

เมื่อเด็กมีเวลานอนหลับเพียงพอ 8-9 ชม. ในการปลุกให้ตื่นเช้าจึงไม่ค่อยมีปัญหา เพราะเค้าได้นอนเต็มอิ่มแล้ว อย่างของครูแหม่มจะปลุกเช้าหน่อย ประมาณตี 5.30 น. ค่ะ เพราะรถโรงเรียนมารับ 06.15 น. ครูแหม่มเผื่อเวลาให้น้องเข้าห้องน้ำในทุก ๆ เช้าด้วย ซึ่งเป็นข้อดีอีกอย่าง เพราะทำให้เราสบายใจเรื่องการขับถ่ายของลูกก่อนไปโรงเรียนได้อีกเรื่องค่ะ ผู้ปกครองท่านไหนจะลองนำวิธีแบบครูแหม่มไปใช้กับเด็ก ๆ ที่บ้านก็อาจจะใช้ได้ผลนะคะ

ปรับเวลาเข้านอน และตื่นนอนของเด็ก ให้เด็กได้นอนเพียงพอ
ปรับเวลาเข้านอน และตื่นนอนของเด็ก ให้เด็กได้นอนเพียงพอ

การดูแลสุขอนามัยของเด็ก

การดูแลเรื่องผมและเล็บในเด็กเล็ก ๆ เป็นสิ่งที่เราต้องหมั่นคอยดูแล และทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอนะคะ อยากแนะนำว่าเรื่องสระผมให้เด็กควรปลูกฝังตั้งแต่ 1 ขวบเลยค่ะ เพราะจะมีเด็กบางคนที่เวลาให้สระผมร้องไห้หนักมาก อาจเป็นเพราะเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในการสระผมมา เช่น น้ำอาจจะเข้าตา เคืองตา หรือน้ำเข้าจมูก ปาก ทำให้สำลักเลยไม่ชอบการสระผม

สำหรับครูแหม่มแล้ว ตั้งแต่แบเบาะจนโตน้องต้องสระผมทุกวัน และสระแบบไม่มีหมวกสระผม ใช้น้ำไหลจากศีรษะลงมาเลยค่ะ น้องก็จะไม่กลัวน้ำเลย หรือใครมีวิธีไหนก็ลองกันดูนะคะ เพราะวิธีของครูแหม่มอาจจะดูไม่นุ่มนวลสักเท่าไหร่ แต่ถึงจะสระผมบ่อยแค่ไหน ก็อย่าชะล่าใจไปนะคะ ขนาดดูแลรักษาสระผมให้ทุกวันเด็กก็สามารถมีเหาได้ค่ะ เพราะบางทีเราก็ไม่รู้ว่าที่โรงเรียนเด็กคนไหนมีเหาเมื่อเค้าเล่น และอยู่ใกล้กันก็สามารถทำให้เป็นเหาได้ หากผู้ปกครองต้องการรู้ถึงสาเหตุ ลักษณะอาการ และวิธีการกำจัดเหา สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ ทำอย่างไรดี เมื่อลูกเป็นเหา ? ที่ครูแหม่มเคยเขียนไว้ได้เลยนะคะ

ส่วนเรื่องเล็บของเด็ก ๆ ก็หมั่นสังเกตเมื่อเห็นยาวก็ควรตัดเลย เพราะในปัจจุบันเชื้อโรคและไวรัสในเด็กมีมากมาย ไหนจะโรคมือเท้าปากที่เด็ก ๆ วัยอนุบาลจะเป็นกันมาก ถ้าเด็ก ๆ มีเล็บยาวนอกจากจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคแล้วบางครั้งอาจจะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจกับเพื่อน ๆ ได้ และเมื่อเด็กกลับจากโรงเรียนผู้ปกครองควรหมั่นตรวจฝ่ามือ ลิ้น กระพุ้งแก้มทั้งสองข้างให้เด็กด้วยนะคะ ถ้าเห็นเป็นตุ่มใสเม็ดเล็ก ๆ ตามฝ่ามือ ลิ้น กระพุ้งแก้ม ให้รีบไปพบแพทย์ เพราะอาจจะเป็น โรคมือ เท้า ปาก ได้ค่ะ และปลูกฝังให้เด็ก ๆ ล้างมือบ่อย ๆ เมื่ออยู่ในโรงเรียน หรือออกไปสถานที่ต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีค่ะ

หมั่นตรวจความสะอาดเรียบร้อยของเด็ก ๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรค และไวรัสต่าง ๆ
หมั่นตรวจความสะอาดเรียบร้อยของเด็ก ๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรค และไวรัสต่าง ๆ

สิ่งของที่ควรเตรียมใส่กระเป๋า

โดยปกติโรงเรียนทั่วไปเด็ก ๆ ก็จะมีชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียน และชุดนอนกลางวัน 1 ชุด แต่สิ่งที่ผู้ปกครองต้องจัดเตรียมเพิ่ม คือ ชุดลำลอง กางเกงชั้นใน (สำหรับเด็ก ๆ ที่ยังไม่เลิกแพมเพิสต้องเตรียมอย่างน้อย 2 ชิ้นค่ะ) และผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ เผื่อไว้ในกระเป๋าให้เด็ก ๆ ด้วยนะคะ โดยเฉพาะเด็กเล็ก เพราะในวันเปิดเรียนครั้งแรกจะเป็นวันที่วุ่นวาย มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นให้เสมอ ไม่ว่าจะเด็กร้องไห้จนอาเจียน ร้องจนฉี่รดกางเกง กระโปรง เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ถ้าเราเตรียมความพร้อมไว้ คุณครูจะได้หาเปลี่ยนให้เด็ก ๆ ได้ค่ะ

ในกรณีนี้ขอเล่าจากประสบการณ์การเป็นครูนะคะ เพราะบางทีชุดเด็กเลอะทั้งชุดนักเรียนและชุดนอน แล้วผู้ปกครองไม่ได้เตรียมชุดสำรองมาให้ น้องก็ไม่มีเสื้อผ้าใส่ค่ะ ครูแหม่มต้องหาชุดของเพื่อนมาให้ใส่ก่อน ซึ่งอาจจะไม่ค่อยเหมาะสม เพราะเราหยิบของเพื่อนมาใช้ก่อน แล้วค่อยไปขออนุญาติผู้ปกครองทีหลัง ครูแหม่มอยากให้ผู้ปกครองเข้าใจนะคะ มีชุดสำรองติดไว้ในกระเป๋าเลยค่ะ อุ่นใจกว่าทั้งครู และเด็ก

จัดเตรียมสิ่งของจำเป็นที่เด็กต้องใช้ ตอนไปโรงเรียน
จัดเตรียมสิ่งของจำเป็นที่เด็กต้องใช้ ตอนไปโรงเรียน

อุปกรณ์เครื่องเขียน

สิ่งของเหล่านี้จริง ๆ แล้วสำหรับเด็กเล็กผู้ปกครองไม่ต้องเตรียมมาก็ได้ค่ะ ที่โรงเรียนจะมีทั้ง ดินสอ สีไม้ สีเทียนเตรียมไว้ให้เด็กใช้เวลาทำกิจกรรมค่ะ เพราะเด็ก ๆ ยังไม่รู้จักการดูแลจัดการกับสิ่งของของตัวเอง ถ้านำมาบางครั้งอาจจะเกิดสูญหายได้ บางทีอาจจะนำมาแบ่งให้เพื่อนใช้แล้วกระจายหายไปหมด บางครั้งก็จะแจกจ่ายเพื่อน ๆ ค่ะ แต่ถ้านำมาเองก็อาจจะเขียนชื่อไว้ที่กล่อง แล้วแจ้งกับคุณครูประจำชั้นว่ามีอะไรมาบ้าง คุณครูจะได้ช่วยดูและเช็คให้ เวลาจะกลับว่าของอยู่ครบหรือไม่

เขียนชื่อติดไว้บนอุปกรณ์เครื่องเขียนที่นำไปโรงเรียน ป้องกันการสูญหาย
เขียนชื่อติดไว้บนอุปกรณ์เครื่องเขียนที่นำไปโรงเรียน ป้องกันการสูญหาย

กระเป๋านักเรียน

กระเป๋าของเด็กเล็ก ๆ ส่วนมากจะใช้กระเป๋าน่ารัก ๆ ลายตัวการ์ตูนที่ตัวเองชอบ มีทั้งแบบเป้สะพายหลัง แล้วก็แบบมีล้อลาก เป็นอีกสิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้เด็ก ๆ อยากไปโรงเรียน ส่วนขนาดกระเป๋าไม่ควรใหญ่มาก เหมาะสำหรับเด็กสะพายหลัง เพราะของในกระเป๋าจะมีเสื้อผ้าสำรอง นมกล่อง และขนมเล็กน้อย มาถึงโรงเรียนคุณครูก็จะให้ตรวจเช็คของแล้วนำออกมาใส่ ล็อคเกอร์ของเด็กแต่ละคนไว้ให้ค่ะ

บางโรงเรียนจะมีกระเป๋าของโรงเรียน ที่มีรูปแบบและขนาดเหมือน ๆ กัน ดังนั้นจึงควรมีป้ายชื่อเด็ก ติดกระเป๋าไว้ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ทั้งคุณครูประจำชั้นและตัวเด็กเอง ซึ่งครูแหม่มเคยอธิบายเกี่ยวกับ ภาพสัญลักษณ์ สำหรับเด็กปฐมวัย ไปแล้ว ในบทความก่อน ที่มีป้ายชื่อ และป้ายล็อคเกอร์ ให้ดาวน์โหลดฟรี ส่วนในบทความนี้ครูแหม่มก็มี ป้ายชื่อห้อยกระเป๋า และ ป้ายชื่อล็อคเกอร์ ให้ผู้ปกครองดาวน์โหลดไปให้เด็ก ๆ ใช้เพิ่มถึง 20 ลาย ที่ด้านล่างของบทความเลยค่ะ

กระเป๋านักเรียนที่มีป้ายชื่อห้อยกระเป๋า เป็นภาพสัญลักษณ์ง่ายต่อการจดจำ
กระเป๋านักเรียนที่มีป้ายชื่อห้อยกระเป๋า เป็นภาพสัญลักษณ์ง่ายต่อการจดจำ

เตรียมความพร้อมทักษะต่าง ๆ ก่อนไปโรงเรียน

การที่เด็กมีทักษะพร้อมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ก่อนเข้าโรงเรียน สำหรับครูแหม่มคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เลยค่ะ ซึ่งทักษะพื้นฐานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้ปกครองอย่างเราจะส่งเสริมให้น้องได้ เช่น การนับเลข 1 ถึง 10 ได้ รู้จักชื่อพยัญชนะไทยและอังกฤษบ้างเป็นบางตัว หรือท่องเรียงอักษรด้วยปากเปล่าได้ รู้และจำชื่อของตัวเองได้ หยิบจับสิ่งของได้คล่องแคล่ว จับดินสอ สี ได้ถนัด รับประทานข้าวเองได้ และแต่งตัวเองได้บ้างเล็กน้อย สิ่งเหล่านี้ผู้ปกครองสามารถฝึกเด็ก ๆ ได้เองตั้งแต่เนิ่น ๆ ที่บ้านเลยนะคะ

ส่วนเด็ก ๆ ที่เข้าเรียนอยู่แล้ว อาจมีการทบทวนความรู้เดิม โดยการทำแบบฝึกหัด ตามระดับชั้นของตัวเอง หรืออาจจะลองทำเนื้อหาที่จะเรียนล่วงหน้า ซึ่งครูแหม่มก็มี แบบฝึกหัดอนุบาล แจกฟรี!! ให้ผู้ปกครองดาวน์โหลดตามวิชา และระดับชั้นที่ต้องการ ไปให้เด็ก ๆ ฝึกทำได้นะคะ แต่ทั้งหมดก็ควรอยู่ในปริมาณที่พอดี ไม่มากเกินไปจนเด็ก ๆ เครียด และเบื่อกับการทำแบบฝึกค่ะ

ฝึกทักษะพื้นฐานให้เด็ก ๆ เช่น นับเลข จำพยัญชนะ ฯ
ฝึกทักษะพื้นฐานให้เด็ก ๆ เช่น นับเลข จำพยัญชนะ ฯ

ฝึกให้รู้จักขอความช่วยเหลือ

เมื่อเด็ก ๆ ไปโรงเรียนวันแรกจะรู้สึกประหม่า และไม่กล้าที่จะขอความช่วยเหลือ เช่น การขอไปห้องน้ำ ครูแหม่มจะฝึกลูกตั้งแต่ที่บ้านและพูดย้ำ ๆ ว่า ถ้าอยากไปห้องน้ำต้องบอกคุณครูเลยนะ เพราะลูกครูแหม่มเป็นเด็กขี้อายไม่ค่อยกล้าพูด เลยต้องย้ำบ่อย ๆ ซึ่งได้ผลดีค่ะ หรืออีกกรณี ที่เด็กหิวน้ำแต่ไม่กล้าเดินไปหยิบกระติกน้ำ วันนั้นทั้งวันน้องอาจจะไม่ได้ดื่มน้ำเลยก็มีค่ะ เรื่องเล็ก ๆ น้อยเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ผู้ปกครองควรสร้างความมั่นใจให้เด็กกล้าพูด กล้าบอกความต้องการของตัวเอง เช่น ปวดฉี่ ปวดอึ หิว หรือบาดเจ็บ เป็นต้น

ฝึกลูกให้กล้าขอความช่วยเหลือ และบอกในสิ่งที่ต้องการ
ฝึกลูกให้กล้าขอความช่วยเหลือ และบอกในสิ่งที่ต้องการ

สอนให้รู้จักการรอคอย

เด็กโดยส่วนใหญ่แล้ว โดยเฉพาะเด็กที่อยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย หรือ ลูกคนเดียวไม่มีพี่ น้องด้วยแล้ว จะถูกตามใจมาโดยตลอด เมื่ออยากทำอะไร หรืออยากได้อะไร มักจะได้ดั่งใจเสมอ แต่เมื่อเค้ากำลังจะก้าวเข้าสู่โรงเรียนที่มีผู้คนมากมาย เราจึงจำเป็นที่จะต้องสอนให้เค้ารู้จักรอ โดยอาจจะหานิทานที่มีเนื้อเรื่องปลูกเจนคติที่ดี เรื่องการรอคอย หรือชวนพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เด็กเคยเจอ เช่น เวลาไปห้าง เมื่อเราจะเข้าห้องน้ำทุกคนจะต้องเข้าแถวรอ คนมาก่อนต้องได้เข้าก่อนไม่ควรแซงคิว หรือเวลาเราจะซื้ออาหารเราก็ต้องเข้าแถวต่อคิว บางครั้งผู้ใหญ่เค้าเห็นเด็กเค้าก็จะให้เราแซงคิวไป เพราะเค้าเป็นคนมีน้ำใจ เมื่อเห็นอย่างนั้นเราก็ควรกล่าวคำขอบคุณ เป็นต้น

อย่างครูแหม่มสอนลูกก็จะสอนให้รอ โดยบอกจุดสิ้นสุดของการรอคอยให้ชัดเจน เช่น “ถ้าอยากไปเล่น ต้องกินข้าวให้เสร็จก่อน” เพื่อให้การอดทนรอคอยของเขามีจุดสิ้นสุด เราไม่ควรพูดแค่ว่า “เดี๋ยวก่อน” หรือ “รอแป๊บนึง” เพราะเป็นการรอแบบไม่มีจุดหมาย เด็กจะไม่เข้าใจว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่ เพราะบางทีแป๊บนึงของเราอาจจะนานสำหรับเด็ก หรือกลายเป็นเผลอลืมไปเลยก็มี และควรบอกให้เด็กเข้าใจว่า เมื่อรอแล้วอีกไม่นานก็จะได้ ไม่จำเป็นต้องได้ทุกสิ่งที่ต้องการในทันทีเสมอไป

ฝึกลูกให้รู้จักการรอคอย โดยเป็นการรอคอยที่มีจุดสิ้นสุด
ฝึกลูกให้รู้จักการรอคอย โดยเป็นการรอคอยที่มีจุดสิ้นสุด

เด็ก ๆ กำลังจะเข้าสู่สังคมใหม่ ผู้ปกครองอย่างเรา ก็คงจะมีความตื่นเต้นไม่แพ้กันกับเด็ก ๆ ที่เค้าจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ แม้จะรู้สึกเศร้าเล็กน้อยที่ลูกกำลังออกไปผจญภัยกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยไม่มีเราอยู่เคียงข้าง ตัวครูแหม่มจะมีอารมณ์เหล่านี้ในช่วงใกล้เปิดเรียน ยิ่งเป็นลูกคนเดียวไม่มีประสบการณ์ก็จะยิ่งคิดมาก แนะนำให้ผู้ปกครองปล่อยวาง และทำจิตใจให้สบายนะคะ เพราะโรงเรียนที่เราเลือกให้ลูกแล้ว เราก็ต้องเชื่อมั่นและไว้ใจว่าคุณครูจะดูแลลูกเราได้เหมือนเรานั่นแหละ

ตัวเด็กเองก็มีความรู้สึกหลายอย่างเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ กังวลว่าจะถูกแยกจากแม่และพ่อ อีกทั้งต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้า เราจะต้องให้เวลากับเด็ก ๆ ในการปรับตัว ถ้าเราเตรียมความพร้อมให้เด็ก ๆ มาเป็นอย่างดี เด็ก ๆ อาจจะมีแต่ความสนุกที่ได้เจอเพื่อนใหม่ ได้เรียนรู้และสัมผัสทักษะการใช้ชีวิตโดยไม่มีพ่อแม่ ที่เค้าต้องรู้จักช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าจริง ๆ แล้วเด็ก ๆ สามารถปรับตัวอยู่บนโลกใบใหม่ได้อย่างแข็งแกร่ง

ดาวน์โหลด
2 รายการ